วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิธีรับประทานน้ำมันปลา น้ำมันปลามีประโยชน์อย่างไร

วิธีรับประทานน้ำมันปลา น้ำมันปลามีประโยชน์อย่างไร น้ำมันปลาน่ารู้
น้ำมันปลา : Fish Oil น้ำมันปลาน่ารู้
ความมหัศจรรย์ของน้ำมันปลา
         ปัจจุบันนี้ วงการแพทย์หันมาสนใจถึงความมหัศจรรย์ของน้ำมันปลามากขึ้น หลังจากที่พบว่าชาวเอสกิโมกรีนแลนด์และชาวญี่ปุ่น มีอัตราการตายจากโรคหัวใจขาดเลือดต่ำกว่าชนชาติอื่นๆ เพราะรับประทานเนื้อปลาทะเลเป็นอาหารหลัก
สารประกอบสำคัญของน้ำมันปลา

         น้ำมันปลา เป็นสารประกอบของกรดไขมัน ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของโอเมก้า-3 มี 2 ชนิด ได้แก่

1. EPA (Eicosapentaenoic Acid)
         มีคุณสมบัติในการลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด พร้อมทั้งป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และยังป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคสมองขาดเลือด และโรคที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
2. DHA (Docosahexaenoic Acid)
         เป็นส่วนประกอบสำคัญของสมองและดวงตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ ความจำ ตลอดจนระบบสายตา ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำมันปลา มีผลดีต่อสุขภาพอย่างไร
ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและสมองขาดเลือดชั่วคราว
          การรับประทานน้ำมันปลา จะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและช่วยลดไขมันในเลือด จึงป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมอง โดยมีผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่า กลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจที่รับประทานน้ำมันปลาวันละ 3 กรัม ร่วมกับวิตามินอีธรรมชาติ 200-400 ยูนิต สามารถลดอัตราการตายเนื่องจากหัวใจล้มเหลวลง 15% เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับประทานน้ำมันปลา

ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน
         กรดไขมันไม่อิ่มตัวในน้ำมันปลา เป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่มไอโคซานอยด์ (Eicosanoids) อันได้แก่ พรอสตาแกลนดิน-3 (Prostaglandins-3) และทรอมบอกแซน-3 (Thromboxan-3) ซึ่งสารกลุ่มนี้จะยับยั้ง การเกาะตัวของเกล็ดเลือด จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวทำให้การไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น
ช่วยลดไขมันในเลือด กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 จะช่วยยับยั้งการสร้างไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglycerides) และไลโปโปรตีนชนิดความหนาแน่นต่ำมาก (VLDL) นอกจากนี้ยังเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไลโปโปรตีนที่นำโคเรสเตอรอลไปทำลายที่ตับ จึงช่วยลดไขมันในเส้นเลือด

ลดความดันโลหิตสูง
การรับประทานน้ำมันปลาช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น จึงมีผลให้ความดันเลือดลดลง
ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อรูมาตอยด์และข้อเสื่อม กรดไขมันในน้ำมันปลา ช่วยลดการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (สารกลุ่มลิวโคไตรลิน) ช่วยบรรเทาอาการปวด บวม อักเสบตามข้อและยังช่วยลดปริมาณการใช้ยาแก้ปวดข้อ (NSAID) ลงได้
ข้อควรทราบของน้ำมันปลา

- กรดไขมัน EPA และ DHA ในปลาน้ำจืดมีน้อยกว่าปลาทะเล
- การกินปลาทะเล 200-300 กรัมต่อวัน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะสามารถเพิ่มกรดไขมันโอเมก้า-3 ในอาหารได้ถึง 0.2 - 0.5 กรัมต่อวัน
- น้ำมันปลาต่างจากน้ำมันตับปลา
- น้ำมันปลา 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี่

น้ำมันปลา เหมาะสำหรับ
-ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ซึ่งได้แก่
     - ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
     - ผู้ที่สูบบุหรี่จัด
     - ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารประเภทที่มีไขมันสูง
     - ผู้ที่ทำงานนั่งโต๊ะประจำ และขาดการออกกำลังกาย
- ผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะไตรกลีเซอร์ไรด์
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดอุดตัน
- ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง
ข้อมูล : www.gotoknow.org
 

ประโยชน์ของน้ำมันปลาของแอมเวย์


ประโยชน์น้ำมันปลาแอมเวย์



       ปลานับว่าเป็นอาหารที่มีโปรตีน ซึ่งมีคุณค่าทางร่างกายสูง ซึ่งสามารถหาซื้อมาบริโภคได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย ปลามีหลายชนิดมีทั้งปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็ม แต่ละชนิดอาจจะแตกต่างกันบ้าง แต่ต่างก็มีโปรตีนสูงเช่นกัน ปลาสามารถบริโภคได้ทุกศาสนาหรืออาจจะพูดได้ว่าปลาเป็นอาหารหลักของชาวโลก และปลามีคุณค่าทางโภคชนาการมากมายโดยเฉพาะน้ำมันปลา สามารถใช้บริโภคเพื่อรักษาโรคได้
…….น้ำมันปลา เป็นน้ำมันที่สกัดจากส่วนของเนื้อ หนัง หัว และหางของปลาทะเลน้ำลึกโดยเฉพาะปลาในเขตหนาว ในน้ำมันปลามีกรดไขมันหลายชนิด แต่ที่สำคัญและมีการนำมาใช้ทางการแพทย์ คือ กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 และกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่สำคัญ 2 ชนิด คือ กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก EPA (Eicosapentaenoic acid) และกรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิก DHA (Docosahexaenoic acid) ซึ่ง เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น สำหรับกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 เป็นกรดไขมันที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีผลในการลดไขมันในเลือด พบมากในน้ำมันพืชหลายชนิด เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น
…….ใน ปี ค.ศ. 1976 ได้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าชาวเอสกิโม บริโภคอาหารหลักในชีวิตประจำวันคือ ปลา จะเห็นว่าชาวเอสกิโม มีเส้นเลือดอุดตันต่ำมาก รวมทั้งพบว่ามีระดับไขมันในเลือดต่ำ การเกาะกันของเกล็ดเลือดน้อยกว่าชาวเดนมาร์กซึ่งบริโภคอาหารหลักคือเนื้อสัตว์และ ผลิตภัณฑ์นม  หลังจากนั้นสี่ปีต่อมาในปีค.ศ. 1980 ผลการวิจัยในประเทศญี่ปุ่นพบว่าชาวบ้านในหมู่บ้านประมงซึ่งรับประทานปลาเป็น อาหารหลักก็มีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจต่ำกว่าทั่วไป การเกาะกันของเกล็ดเลือดและความหนืดของเลือดต่ำกว่าชาวญี่ปุ่นในหมู่บ้านที่ เลี้ยงสัตว์ อาหารประจำวันของผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านประมงเป็นอาหารทะเลมากกว่าในหมู่บ้าน ที่เลี้ยงสัตว์กว่า 2 เท่า และยังพบว่าในอาหารทะเลมีกรดไขมันชนิด EPA ในปริมาณสูง
…….คณะ ผู้วิจัยได้สกัดกรดไอโคซาเพนตาอีโนอิกออกจากน้ำมันปลาซาร์ดีน บรรจุในแคปซูลให้อาสาสมัครรับประทาน วันละ 1.4 กรัม พบว่าความหนืดของเลือดของอาสาสมัครลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนหลังจากรับประทาน ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ เกิดข้อสรุปว่าอาหารทะเลช่วยลดความหนืดของเลือดซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในการ ป้องกันหรือรักษาภาวะเส้นเลือดอุดตัน นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1983 เป็นต้นมา น้ำมันปลาก็เริ่มเป็นที่สนใจรู้จักกันทั่วไป แต่ในเวลานั้นผลการศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถสรุปประสิทธิภาพของน้ำมัน ปลาในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้อย่างแน่นอน เพราะการศึกษาไม่ได้ทำในวงกว้างขวาง จนกระทั่งสิบกว่าปีผ่านไปพร้อมกับรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์ออกมาเรื่อยๆว่า น้ำมันปลามีประสิทธิภาพในการป้องกันหลอดเลือดอุดตัน โรคหลอดเลือดหัวใจ และยังมีรายงานว่าช่วยป้องกันโรคมะเร็งและข้ออักเสบได้อีกด้วย
…….แหล่งน้ำมันปลาในธรรมชาติที่ดีที่สุด คือปลาทะเล หอยนางรมแปซิฟิก และปลาหมึก ปลาทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า ซาบะ ซาร์ดีน เฮอร์ริ่ง แองโชวี่ ไวท์ฟิช บลูฟิช ชอคฟิช เทราท์ แมคเคอเรล เป็นต้น ปลาทะเลที่มีน้ำมันปลามาก คือ ปลาทู ปลาสำลี ปลารัง ปลากระพง เป็นต้น พบว่าปลาที่จับได้ในธรรมชาติจะมีปริมาณกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในสัดส่วนที่เหมาะสม ส่วนปลาที่เลี้ยงในบ่อจะมีปริมาณของกรดโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 ปัจจุบันน้ำมันปลาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ได้รับความนิยมในการรับประทาน อย่างแพร่หลาย ส่วนน้ำมันตับปลาที่เรารู้จักกันดี สกัดจากตับของปลาทะเล เช่นปลาคอด แฮลิบัท เฮอร์ริ่ง มีสารสำคัญคือวิตามินเอ และดี



ประโยชน์ของน้ำมันปลา(Fish Oil)
1. ลด ระดับของไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด และเพิ่มระดับของเอชดีแอลโคเลสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันที่ดี น้ำมันปลาสามารถลดระดับของไตรกลีเซอไรด์ลงได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าน้ำมันข้าวโพด และน้ำมันดอกคำฝอยมาก ผู้ชายที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง เมื่อให้กินปลาประมาณ 18 ออนซ์ต่อวันเป็นเวลา 3 เดือน พบว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลงและระดับเอชดีแอลโคเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น
2. ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดโดยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไม่เกาะตัวเป็นลิ่ม เลือดจึงไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดความหนืดของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่น
3. ลดความดันโลหิต จากรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่าอาหารที่ประกอบด้วยปลาหางแข็งหรือปลาทูซึ่งมี EPA ใน ปริมาณ 2.2 กรัมต่อวันสามารถลดความดันเลือดซิสโตลิกในคนไข้ที่มีโรคความดันผิดปกติทาง กรรมพันธุ์ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือดสูง และทำให้เกิดโรคหัวใจในขณะที่อายุยังน้อยอยู่ อาหารที่มีปลาหางแข็งหรือปลาทู ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลงได้เป็นเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นระดับกลับสูงขึ้นไปเหมือนเดิมอีก ในผู้ที่มีความดันเลือดสูงในระดับปานกลาง พบว่าอาหารที่มีปลาหางแข็งหรือปลาทูลดความดันซิสโตลิกลงได้เกือบร้อยละ 10 ระดับโซเดียมในเลือดลดลง และเรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งที่สร้างในไตซึ่งมีผลมากต่อความดันเลือดนั้น ก็ทำงานได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 64 การศึกษาวิจัยในผู้ป่วยที่มีความดันเลือดสูงเล็กน้อย โดยให้กินน้ำมันปลาแคปซูลเป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าความดันตัวบนหรือซิสโตลิกลดลงอย่างชัดเจน
4. กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกมีความจำเป็นต่อการพัฒนาของจอตาและสมองของทารก แต่ทารกไม่สามารถสังเคราะห์ DHA ได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยจากน้ำนมแม่ โดยทารกแรกเกิดควรได้รับ DHA ไม่ต่ำกว่าวันละ 40 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม จากการศึกษายังพบว่าเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เมื่อได้รับนมเสริม DHA จะสามารถมองเห็นได้ชัดเร็วกว่าเด็กที่ไม่ได้รับอีกด้วย มารดาและหญิงที่ให้นมบุตรจึงควรบริโภคDHA อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกที่ได้รับ ส่งต่อไปยังลูกโดยผ่านทางรกและน้ำนม
5. กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์สมองและเซลล์ประสาทซึ่งมีผลต่อ สติปัญญา หากร่างกายขาด DHA จะทำให้เซลล์สมองและเซลล์ประสาทขาดประสิทธิภาพไปด้วย เด็กในวัยนี้จึงควรได้รับ DHA ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของสมอง
6. คนในวัยทำงานมักประสบความเครียดอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะร่างกายขาด DHA ใน ปริมาณที่เหมาะสม กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกจะผ่านเข้าไปเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาท ของเซลล์สมอง ซึ่งทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณและผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้สมองทำงานดีขึ้น หากรับประทานอาหารที่มีกรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้สัดส่วนของ DHA ในสมองสูงขึ้น ความเครียดจะลดลงและสมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น
7. ผู้สูงอายุจะเกิดภาวะสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ได้ง่ายกว่าคนในวัยอื่นๆ โดยไม่ ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่จากการทดลองโดยการให้กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิกแก่ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ใน ประเทศญี่ปุ่น พบว่าความสามารถในการคำนวณ ความสามารถในการตัดสินใจและประสิทธิภาพ ระดับสูงของผู้ป่วยดีขึ้น โดยกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับ DHA เป็นเวลา 6 เดือนจะมีอาการที่ดีขึ้นมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ DHA อย่างเห็นได้ชัด
การรับประทานน้ำมันปลา
……การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการเป็นรากฐานสำคัญของการป้องกันและรักษา ภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด จึงควรเข้าใจถึงแนวทางในการบริโภคอาหารที่ถูกต้องเพื่อควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด  ซึ่งมีภาวะโคเลสเตอรอลสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจขาดเลือด
……หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกัน และลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ประการแรกคือ รับประทานโคเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม โคเลสเตอรอลมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น และมีมากในอาหารบางชนิดเช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก รับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยผู้ใหญ่ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20-25 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจากน้ำหนักตัว หน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง
……หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงเช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ควรรับประทานอาหารที่ให้กรดไขมันไลโนเลอิกโดยสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ควรรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับเช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิกประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลืองประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้
ข้อมูล : hussakorn.com

วิธีคิดตาม ฟูฮกเกี้ยน


วิธีคิดตาม ฟูฮกเกี้ยน ถ้าเชื่อใน 8 ข้อนี้ และตั้งใจทำมัน เพชร อยู่ง่ายๆแค่เอื่อมมือ 8 ข้อมีอะไรบ้าง มาดูกันครับ

ข้อที่ 1   เชื่อ
เชื่อใน ณ ที่นี้คือ 1.1 เชื่อในบริษัท ของเราก่อน ณ ตอนนี้ บริษัทของเรา มี 80 ประเทศหรือมากกว่า
                       1.2 เชื่อในสินค้า ซึ่งสินค้าของเรา มีมากกว่า 1000 รายการ
                       1.3 เชื่อในแผนการตลาด ธุรกิจนี้ไม่ใช่ธุรกิจขาย แต่เป็นธุรกิจบอกต่อ
                       1.4 เชื่อตัวเองและมั่นใจตัวเอง

ข้อที่ 2 ฝัน
ฝันใน ณ ที่นี้คือ  ฝันว่าเรา จะทำธุรกิจ Amway มากน้อยและตั้งใจแค่นี้ ซึ่งทำตามลำดับของตัวเอง เช่น
                       - 5-10 ปี ทำเงินให้ได้เข้ากระเป๋าตัวเอง เดือนละ 50000 บาท
                       - 3-5   ปี ทำเงินให้ได้เข้ากระเป๋าตัวเอง เดือนละ 50000 บาท
                       - 1-2   ปี ทำเงินให้ได้เข้ากระเป๋าตัวเอง เดือนละ 50000 บาท
                       " ทั้งหมดนี้แล้วแต่ความศรัทธา และ ความตั้งใจ ใน ตัวคุณเอง "

ข้อที่ 3 ใช้สินค้า
ใช้สินค้า ณ ที่นี้คือ การใช้สินค้า ในทุกๆสินค้า และทราบถึงประโยชน์ ของสินค้าๆนั้นๆอย่างชัดเจน เช่น
                         เครื่องกรองน้ำ eSpring ใช้แล้วรู้สึก ดีขึ้นหลับนอนง่ายขึ้นสดชื่นขึ้นเมื่อได้กิน ต่างกับน้ำทั่วไป
                         สบู่ ใช้แล้ว คิดว่า หอมกว่า สบู่ปกติทั่วไป และ ความหอมอยู่นาน มากกว่า ยี่ห้ออื่น
     " ประมาณนี้ครับ ยกตัวอย่างให้ดู ว่า ควรทราบคุณประโยชน์ของ สินค้าให้ชัดเจน เพื่อบอก ต่อ หรือ แนะนำ คนอื่นให้คิดตามและคุณประโยชน์ของสินค้านั้นๆได้

ข้อที่ 4 สร้าง List รายชื่อ
สร้าง List ณ ที่นี้คือ  คนเราต้องมีเพื่อน  หรือ เพื่อนที่เราเรียน,ทำงาน ด้วยกัน หรือไม่ว่าจะเป็นคนไกล้ตัวคือ
              พ่อ และ แม่  เพื่อนแม่  แม่เพื่อน และอีกหลายๆคน พอได้ List รายชื่อ เราก็ถามตัวเองว่า               เรารักเขาไหม ถ้าเรารักเขา เราต้องบอกต่อ ว่า สินค้าของ Amway ดียังไง เริ่มต้นจากเรา ว่า  เราใช้แล้วดียังไง เห็นผลอะไรบ้าง (ในส่วนนี้ไม่ได้บอกให้ ขาย ให้ บอกต่อ เพื่อให้เขาเห็นเองว่า สินค้าของAmwayดีขนาดไหน)พึงพอใจหรือไม่ ถ้าเขาเห็นด้วย นั่นแหละคือ     จุดเริ่มต้นของธุรกิจ

ข้อที่ 1 - 4 นี้ เป็นส่วนที่ต้อง ทำด้วยตัวของเราเองให้ชัดเจนเสียก่อน พูดง่ายๆคือ 4 ข้อนี้ตัวเองต้องทำให้ได้ก่อน

ข้อที่ 5 หาลูกค้า
หาลูกค้า ณ ที่นี้คือ ลูกค้าที่ได้จาก ข้อที่ 4   ที่เขาเห็นด้วยและพร้อมไปกับเรา เริ่มต้นขาก กลุ่ม วงเล็กๆคือ เรา
                          เราทุกคนแน่นอนต้องมีเพื่อนกันอยู่แล้ว ให้เริ่มที่ เพื่อนกลุ่มเล็กๆของเรา เช่น เราอาจจะมี
                          เพื่อน 5 คน เราก็บอก และสาธิตสินค้าให้เขาดู ภายในกลุ่ม 5 คน อาจมีคนเห็นด้วย
                          และไม่เห็นด้วย นั้นอยู่ที่วิธีพูดและสาธิตให้เขาดูว่า เราทำให้เขาเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน
                          ภายใน 5 คนนั้น อาจจะมี 3-4 คน ที่เห็นด้วยและไปกับเรา ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี

ข้อที่ 6 คนรักสินค้า
คนรักสินค้า ณ ที่นี้ กล่าวคือ บุคคลที่ ได้มาจาก ข้อ 5 ซึ่งถือว่าเขาพร้อมและตั้งใจจริงที่จะร่วมธุรกิจไปกับเราถ้าเขาถึงข้อนี้ แสดงว่าเขาคือ " คนทำธุรกิจแล้ว "

ข้อที่ 7 พัฒนาการ
พัฒนาการ ณ ที่นี้หมายถึง เมื่อเราได้ บุคคลในข้อ 6 แล้ว คือคนตั้งใจจริง หรือ คนอยากทำธุรกิจแล้ว เราก็ต้อง   แนะนำวิธีคิดเรียนรู้ จากข้อ 1-4 ให้เขาฟังเพราะมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้และต้องทำ

ข้อที่ 8 ข้อนี้หมายถึง เราให้บุคคลที่มี ความตั้งใจจริง ที่ อยู่กับเรามาถึง 7 ข้อแล้ว ข้อนี้เป็นข้อที่ต้องช่วยกันทำ
                            เริ่มต้นที่ เรา เรา สามารถบอกเพื่อนให้เข้ากลุ่มของเราได้ เช่น มี 4 คนรวมตัวเรา เป็น 5
                            เรา ขายได้ 5000 PV เพื่อน อีก 4 คนขายได้คนละ 5000 PV รวมกันทั้งหมดก็ได้
                            25,000 PV ซึ่ง เท่ากับ 1 คน ต้องขายได้ 14,350 บาท/เดือน คุณจะได้เงินเข้ากระเป๋า 1000+ บาทต่อเดือน
                             ถ้าคุณทำให้แบบนี้  6% แรกของคุณคงไม่ใช่เรื่องยากแน่ๆ
                            และถ้า เพื่อนของเรา บอกเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอีกที ให้คิดเล่นๆนะครับ ขายได้รวมกัน
                            ได้ 55,000 PV=130,000+ บาท/เดือน ซึ่งนั่นหมายถึง จะมีคนเข้ากระเป๋าเรา เดือนละ  20,650 บาท [คิดผิดพลาดประการใด ช่วยแนะนำด้วย :) ]
                             ไม่ยากใช่ไหมครับ
               " ขอให้ทุกคนประสบความเร็จ กับเยอะๆนะครับ  ไม่ใช่เรื่องยากเลย สำหรับคนตั้งใจจริงๆ "
                                         
                                                                                  ผู้ให้แนวทางคือ พี่โย และ แนวคิดของฟูฮกเกี้ยน
                                                                                                        Cr&Edit Gracielo Theelyos

เบาหวาน "ภัยเงียบ" หรือ "เพชฌฆาตมืด" ในโลกปัจจุบัน



       วันเบาหวานโลก: เบาหวานได้ชื่อว่าเป็น "ภัยเงียบ" หรือ "เพชฌฆาตมืด" (silent killer) เพราะเป็นโรคที่ไม่ปรากฏอาการ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกแข็งแรงเช่นคนปกติทั่วไป จะไม่รู้ว่าตัวเองมีโรคเบาหวานซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งจะค่อยๆ บ่อนทำลายร่างกายลงทีละน้อย จนในที่สุดปรากฏอาการของโรคแทรกซ้อนอันตราย เช่น โรคหัวใจ อัมพาต โรคติดเชื้อต่างๆ
      ปกติแล้วผู้มีระดับน้ำตาลในเลือด (หลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง) ตั้งแต่ 126 มก./ดล. ขึ้นไป ก็ถือว่าเป็นเบาหวาน แพทย์แนะนำให้ควบคุมระดับน้ำตาลอยู่ระหว่าง 70-130 มก./ดล. (เต็มที่อนุโลมให้ไม่เกิน 150) จะปลอดภัยดี แต่ผู้ป่วยที่มีค่าน้ำตาลระหว่าง 100-200 มก./ดล. จะไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด อาการปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำบ่อยจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีค่าน้ำตาลตั้งแต่ 200 ขึ้นไป ซึ่งแม้รู้สึกสบายดีก็ยังมีโรคเบาหวานและอันตรายจากโรคนี้แอบแฝงอยู่
       เบื้องหลังอุปสรรคของการรักษาเบาหวาน - ผู้ป่วยบางคนมีค่าน้ำตาลสูงนิดๆ (ไม่เกิน 200) มักจะรู้สึกสุขสบาย แต่ถ้าคุมให้เหลือ 70-130 ตามเป้าหมายอันพึงประสงค์กลับรู้สึกอ่อนเพลีย มึนงง ไม่สุขสบาย หรือถ้าเคยเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มีอาการเป็นลม ซึ่งเป็นประสบการณ์เฉียดตายอันน่าสะพรึง ผู้ป่วยก็จะพยายามรักษาระดับน้ำตาลให้สูงไว้ มากกว่าคุมให้ต่ำ บางคนก็จะแอบปรับขนาดยาเองตามอำเภอใจ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ถูกต้องหลายคนทราบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคเบาหวาน แต่คุณทราบหรือไม่ว่าคุณเป็นเบาหวานชนิดใด ? เบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือเบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2        เบาหวานชนิดที่ 1 จัดว่าเป็นเบาหวานชนิดรุนแรง มักเป็นได้ตั้งแต่วัยเด็กและคนอายุต่ำกว่า 20 ปี โดยที่ไม่มีภาวะน้ำหนักเกินและมีอาการไม่สบายชัดเจน คือปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย หิวข้าวบ่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด จำเป็นต้องรักษาด้วยยาฉีดอินซูลินทุกวัน เนื่องจากผู้ป่วยชนิดนี้เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ค่ะ
       เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่ผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่เป็น มักพบในคนอายุมากกว่า 30 ปีที่มีรูปร่างท้วม น้ำหนักเกินหรืออ้วน แต่ที่น่าตกใจคือปัจจุบันพบเบาหวานชนิดนี้ในเด็กอ้วนบ่อยขึ้น ซึ่งมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง ส่วนใหญ่โรคเบาหวานชนิดนี้มักตรวจพบเมื่อมีการตรวจเช็คสุขภาพ โดยร่างกายแข็งแรงดี แต่ระดับน้ำตาลสูงถึงขั้นที่เป็นโรค (ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มก./ดล.) แต่ยังไม่สูงมากถึงขั้นแสดงอาการ (ระดับน้ำตาลในเลือดมีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 200 มก./ดล.)

        อินซูลินเกี่ยวกับเบาหวานอย่างไร? อินซูลินเป็นสารที่ผลิตโดยตับอ่อน ทำหน้าที่นำน้ำตาล หรือกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่ภายในเซลล์ เพื่อการเผาผลาญให้เกิดพลังงาน ทำให้ร่างกายสามารถทำงานได้เป็นปกติ ถ้าร่างกายขาดอินซูลินอย่างรุนแรง (โรคเบาหวานชนิดที่ 1) หรือว่าร่างกายดื้อต่ออินซูลิน นั่นคือมีอินซูลินพอเพียงแต่ทำหน้าที่ไม่ได้ (โรคเบาหวานชนิดที่ 2) ก็จะเกิดการคั่งของน้ำตาลในกระแสเลือดและขับออกมาทางปัสสาวะ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า "เบาหวาน" หรือถ่าย "เบา" โดยมีน้ำตาลขับออกมาด้วย
       น้ำำตาลเป็นสารให้ความหวานที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้านการให้พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลูโคสซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการให้พลังงานแก่สมอง และช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกสดชื่นและช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย แม้ว่าน้ำตาลมีประโยชน์ก็
จริง แต่ให้พลังงาน ไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการ และคนส่วนใหญ่ก็ได้รับน้ำตาลจากธรรมชาติจากอาหารที่รับประทานทุกวัน เช่น ข้าว ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว ผักผลไม้ตามธรรมชาติ เป็นต้น ดังนั้นการเติมน้ำตาลเพิ่มเติมจากการดื่มเครื่องดื่มหวานๆ น้ำอัดลม เติมน้ำตาลเพิ่มในอาหาร หรือกินขนมหวาน ขนมขบเคี้ยวก็ควรงดค่ะ


       
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้ปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่ได้รับในหนึ่งวัน ทั้งนี้เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย ก็มีการแนะนำว่าอาหารประเภทน้ำมัน เกลือ น้ำตาลให้กินแต่น้อยเท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะน้ำตาล กำหนดว่าไม่ควรกินเกิน 4 ช้
อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1,600 กิโลแคลอรี / ไม่ควรกินเกิน 6 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี และไม่เกิน 8 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 2,400 กิโลแคลอรี ซึ่งน้ำตาลปริมาณนี้คิดเป็นร้อยละ 5 โดยเฉลี่ย ส่วนน้ำตาลปริมาณที่เหลือเผื่อไว้สำหรับอาหารอื่นๆ ซึ่งไม่ทราบปริมาณ เช่น จากข้าว ขนมปัง ผักประเภทหัวอย่างเผือก มัน ฟักทอง ผลไม้ที่มีรสหวานตามธรรมชาติอย่างกล้วย มะละกอ แตงโม เป็นต้นค่ะ


        
กินหวานอันตรายอย่างไร? ถ้าหากร่างกายได้รับกลูโคสเข้าไปมากเกินกว่าที่เซลล์ร่างกายต้องการใช้ พลังงานส่วนเกินนี้ก็จะถูกเก็บสะสมไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อในรูปของไกลโคเจน (glycogen) เพื่อเป็นพลังงานสำรองเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น นอกจากนี้ร่างกายยังเปลี่ยนน้ำตาลที่ล้นเกินให้กลายเป็นไขมันอีกด้วย เพราะฉะนั้นคนที่ชอบกินของหวานๆ แต่ไม่ได้เผาผลาญหรือออกกำลังกายอย่างเพียงพอ ก็จะมีปัญหาน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น!
        
อาหารอาจมีน้ำตาลเกินแบบไม่รู้ตัว? น้ำตาลที่เรากินกันในชีวิตประจำวัน นอกจากในขนมหวานแล้ว ยังมีอยู่ในอาหารหลากหลายชนิด เช่น ในน้ำสลัด แยม ขนมเค้ก โยเกิร์ต ไอศกรีม น้ำอัดลม ซอสปรุงรส ขนมปัง เป็นต้น ดังนั้นการกินอาหารสำเร็จรูปและอาหารปรุงแต่งเหล่านี้มากเท่าไร ก็จะได้น้ำตาลส่วนเกินมากขึ้นเท่านั้น แล้วน้ำตาลที่เกินความต้องการของร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ
         หวานมากมักอันตราย! นอกจากโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ และโรคฟันผุแล้ว การกินน้ำตาลมากยังมีผลโดยอ้อม นั่นคือทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยจากอาหารน้อยลง เพราะน้ำตาลมักจะถูกนำไปปรุงประกอบในอาหารที่มีแป้งและไขมันเป็นหลัก เพราะฉะนั้นคนที่ติดอาหารรสหวาน จึงมักเป็นผู้ที่กินอาหารที่มีเส้นใยต่ำเป็นส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน การมีเส้นใยอาหารน้อยทำให้เกิดอาการท้องผูกได้บ่อย

         
เบาหวานทำร้ายทั่วร่าง: หลอดเลือดแดงทั้งขนาดใหญ่และเล็กทั่วร่างกายแข็งและตีบ ทำให้เกิดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ เช่น จอประสาทตาเสื่อม (ตามัว ตาบอด) ไตวายเรื้อรัง (ถึงขั้นต้องฟอกไต) ประสาทเสื่อม (ทำให้มีอาการชาปลายมือปลายเท้า ท้องเดินหรือท้องผ
ูกเรื้อรัง อาการโรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (ถึงขั้นหัวใจวายกะทันหัน ซึ่งเป็นสาเหตุการตายฉับพลันของผู้ป่วยเบาหวาน) อัมพาต ความจำเสื่อม ภาวะเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นอย่างถาวร แม้ว่าต่อมาจะสามารถคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีก็ไม่ได้ช่วยให้ฟื้นคืนสู่ปกติได้ คือมีแต่ทรงกับทรุดลงเท่านั้น
       
         
เบาหวานมักเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต ถ้าปล่อยปละละเลยหรือขาดการดูแลรักษาอย่างถูกต้องก็อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายรุนแรงฉับพลันได้ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างสะสมจนทำให้อวัยวะต่างๆ เสื
่อมจนเกิดโรคแทรกซ้อนเกือบทุกระบบ แต่ถ้ารู้จักดูแลรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องก็สามารถคุมโรคได้ตามเป้าหมายพึงประสงค์ ผู้ป่วยก็จะชะลอไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ สามารถดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขเฉกเช่นคนทั่วไป และมีชีวิตยืนยาว อาจอยู่ถึง 80-90 ปีได้

         เด็กก็เป็นเบาหวานได้! ขึ้นชื่อว่าโรคเบาหวาน คนส่วนใหญ่มักนึกถึงกลุ่มผู้ใหญ่วัยเกิน 40 ปี คนอ้วนและผู้สูงอายุ แต่ทุกวันนี้เด็กวัยเรียน-วัยรุ่นก็เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น อ้างอิงจากบทความของผศ.พญ.จีรันดา สันติประภพ โรงพยาบาลศิริราช ระบุว่า จากกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา มีผู้ป่วยเป็นโรคอ้วนอายุตั้งแต่ 6-18 ปี 125 ราย และมีน้ำหนักเฉลี่ย 80 กิโลกรัม ซึ่งพบว่าร้อยละ 3 เป็นเบาหวานแล้วแต่ไม่มีอาการเลย และร้อยละ 21 ตรวจน้ำตาลพบว่า มีระดับน้ำตาลสูงผิดปกติแต่ยังไม่ถึงขั้นเบาหวาน หากยังไม่ลดน้ำหนัก อนาคตก็มีโอกาสเป็นเบาหวานสูง! ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามให้ลูกๆ เลี่ยงพฤติกรรมการดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม ติดเกม นั่งดูทีวี กินขนมทั้งวันนะคะ

         
อะไรทำให้เด็กเป็นโรคเบาหวานก่อนวัยอันควร? เด็กที่เป็นโรคอ้วนมักจะมาจากปัญหาการขาดวินัยในครอบครัว เด็กจะตื่นกี่โมงก็ได้ ซื้อขนมถุง กินนอนกับดูโทรทัศน์ กินแต่ของทอด ชอบดื่มน้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่มีรสหวานๆ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องช่วยกันดู ช่วยก
ันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกและสร้างนิสัยการกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งกระตุ้นให้เด็กได้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การลดน้ำหนักโดยการคุมอาหารและออกกำลังกายเพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนพฤติกรรม ส่วนใหญ่คนอ้วนที่สามารถลดน้ำหนักลงได้ประมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวก็จะส่งผลดีต่อร่างกายแล้ว แต่ต้องทำสม่ำเสมอและต่อเนื่องค่ะ

         กินหวานไปก็ทำให้เกิดสิว! นายแพทย์คอร์เดียน (Cordain) และคณะรายงานเคยรายงานในการศึกษาว่า คนบางกลุ่ม (เช่น ชนเผ่าบางเผ่าในปารากวัย ปาปัวนิวกินี ฯลฯ) ไม่เป็นสิว ทั้งๆ ที่สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก จึงตั้งทฤษฎี “การได้รับน้ำตาลน้อย” ว่า เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาล และแป้งน้อยก็จะไม่นำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และภาวะอินซูลินในเลือดสูง ซึ่งนำไปสู่การผลิตสารไอจีเอฟ-1 (IGF-1, insulin-like growth factor-1) เพิ่มขึ้น สารไอจีเอฟ-1 นี่เองที่ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วและหนาตัวขึ้นด้วย ทำให้รูขุมขนแคบลงเกิดการอุดตันได้ง่าย จึงเป็นสิวง่ายขึ้น! ทั้งนี้“ภาวะน้ำตาลน้อย” นี้ยังมีส่วนยับยั้งการผลิตแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ให้พอดี ไม่มากเกินไปเพราะถ้าฮอร์โมนเพศชายมากเกินจะมีการสร้างไขมันที่ผิวหนังมาก จึงเป็นสิวได้ง่ายขึ้นค่ะ

        เบาหวานทำลายผนังหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย! ทั้งหลอดเเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ภาวะปลายประสาทอักเสบที่เกิดจากโรคเบาหวานนับว่าเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยประมาณ 50% ของผู้เป็นโรคเบาหวาน โดยมีอาการรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน เช่น สูญเสียการควบคุมการทำงานระบบย่อยอาหาร และอัตราการเต้นของหัวใจ นอกจากนี้เบาหวานยังเป็นสาเหตุหลักของอาการไร้สมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย หากมีภาวะเบาหวานขึ้นตา หรือการทำลายจอประสาทตา ก็จะทำให้ตาบอด โรคเบาหวานยังเป็นหนึ่งสาเหตุที่สำคัญของอาการไตวาย และยังเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของสู่การตัดขาและเท้าที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บค่ะ

      มาลดอ้วน-ออกกำลังกายต้านเบาหวานกัน! อ้างอิงรายงานเรื่องโรคเบาหวานจากองค์การอนามัยโลกที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ระบุว่า “จากการศึกษาประชากรกลุ่มใหญ่ในประเทศจีน แคนาดา สหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในทวีปยุโรปแนะนำว่า การลดน้ำหนักระดับปานกลางและการเดินครึ่งชั่วโมงทุกวัน สามารถลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคเบาหวานมากกว่าครึ่ง ในกลุ่มตัวอย่างที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะต้านทานกลูโคสบกพร่องระดับไม่รุนแรง”

      
อินซูลินกับโรคเบาหวาน...อินซูลินเป็นเหมือนกุญแจที่ไขประตูให้เปิดออกเพื่ออนุญาตให้กลูโคสเข้ามาในเซลล์ เราเคยคิดว่า ปัญหาอย่างเดียวของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือ ตับอ่อนของผู้ป่วยผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ระยะแรกของกระบวนการเกิดโ
รค ปัญหาไม่ใช่ “กุญแจ” ของการผลิตอินซูลิน แต่เป็น “ตัวล็อก” หรือตัวรับอินซูลินในผนังเซลล์ที่ต่อต้านอินซูลิน เมื่อร่างกายรู้สึกว่ามีกลูโคสไม่เพียงพอต่อการเข้าหาเซลล์ จึงสั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินเพิ่ม และทำให้มีอินซูลินอยู่ในเลือดมากเกิน ซึ่งเกิดอันตรายได้ค่ะ

      
ทราบอย่างไรว่าคุณเป็นโรคเบาหวาน? ตามรายงานจากสมาคมเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา การวินิจฉัยของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อิงจากหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้:
1. ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด หลังงดอาหารอยู่ที่ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือมากกว่า
2. แสดงอาการของโรคเบ
าหวาน ประกอบกับมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดหลังรับประทานอาหารปกติอยู่ที่ 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือมากกว่า
3. มีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระหว่างการทดสอบโดยให้ดื่มน้ำตาลกลูโคสและเจาะหาระดับน้ำตาลในเลือดเป็นระยะ

       ตรวจอะไรถึงรู้ว่าเสี่ยงเบาหวาน? ภาวะต้านทานกลูโคสบกพร่อง (Impaired glucose tolerance) เป็นการทดสอบการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนหลังดื่มสารละลายกลูโคส 75 กรัมและเจาะวัดระดับน้ำตาลในเลือด คนปกติจะสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงมาได้ภายใน 2 ชั่วโมง แต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะใช้เวลานานกว่านั้น ดังนั้นการตรวจหาภาวะต้านทานกลูโคสบกพร่องจึงเป็นการตรวจหาความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานนั่นเองค่ะ

        ถ้าคุณเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อยู่ กรุณาปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษาอย่างเคร่งครัด และพยายามเอาชนะโรคเบาหวานให้ได้ ทั้งนี้เคล็ดลับที่ช่วยให้คุณพึ่งพายาลงลด หรือชะลอความรุนแรงของโรคได้คือ ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ และกรดไขมันโอเมก้า-6 800, 801 แหล่งสำคัญของกรดไขมันชนิดนี้คือ เนื้อแดง 802, 803 น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันสูง และน้ำมันอื่นๆ เช่น น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันที่ผ่านกระบวนการไฮโดรจีเนตบางส่วน

        

** อ้างอิงจากเอกสารข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการป้องกันโรคที่ไม่ติดต่อขององค์การอนามัยโลก ระบุว่ามีประชากรปัจจุบันอย่างน้อย 180 ล้านคนทั่วโลกเป็นโรคเบาหวาน และจำนวนผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีแนวโน้มสูงถึง 360 ล้านคน ภายในปี 2030 และทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนของโรคเบาหวานถึง 4 ล้านคนทุกปี
อ้างอิง The Optimal Health Revolotion (endnote ที่ 754)

Credit ข้อมูล  ขอบคุณ https://www.facebook.com/nutrilitethai ครับ

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กินผักมาก ๆ แล้วจะดี

กินผักมาก ๆ แล้วจะดี

           กินผักให้มากๆ โดยเฉพาะผักประเภทใบและถั่วสด เช่น ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักบุ้ง ผักกระเฉด มะระ มะเขือยาว ถั่วงอก ถั่วแขก ถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง เป็นต้น กินผลไม้ที่มีรสหวานไม่มากได้มื้อละ 6-7 ชิ้นคำ เช่น ส้ม มังคุด มะม่วง มะละกอ พุทรา ฝรั่ง สับปะรด แอปเปิ้ล ชมพู่ กล้วย